วันนี้วันอังคารที่ 27/08/2019 ฉันตื่นตอนนาฬิกาปลุก คือ 6.00น. ฉันทดเวลาบาดเจ็บ อีก 20 นาที จากนั้นก็ลุกเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน ข้างนอกฝนตกปรอยๆ ฉันแต่งตัวเสร็จเปิดประตูออกไปเช็คดูว่าฝนหยุดตกรึยัง ปรากฏว่าก็ยังคงตกลงมาปรอยๆ แผนการที่จะไปวิ่งที่หน้าท่าเรือเป็นอันต้องพับเก็บ ตอนนี้ก็แค่รอฝนหยุด แล้วฉันจะได้ไปยิมซะที ตอนขับรถไปยิมอากาศหนาวมาก ฉันไม่ชอบบรรยากาาศแบบนี้เลย ฉันชอบอากาศอบอุ่น หนาวแบบนี้ทนไม่ค่อยจะไหวค่ะ เมื่อถึงยิมฉันก็ยืดเส้นวันนี้ใช้เวลานานเป็นพิเศษ เพราะแผนการวันนี้ ฉันจะวิ่งและต้องการทำความเร็วให้ดีขึ้นกว่าเดิม มาดูผลงานของฉันดีกว่า ว่าวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง
วันนี้ฉันวิ่งได้ 5. 94 ไมล์ ใช้เวลา 1.05 ชั่วโมง คิดเป็น 9. 62 กิโลเมตร ถ้า 10กิโลเมตร เฉลี่ยเวลาแล้วฉันทำเวลาได้อยู่ที่ 1.08 ชั่วโมง ฉันพอใจในผลงานของฉันวันนี้ และพรุ่งนี้ฉันจะทำให้ดีขึ้น แต่รู้สึกดีมากเลยค่ะหลังจากวิ่งเสร็จ ก็มีเพื่อนๆในยิมที่คอยเชียร์อยู่และเข้ามาถามว่า วิ่งได้กี่กิโลเมตร และทำเวลาได้ดีมั้ย พอฉันเปิดรูปให้ดูทุกคนก็บอกว่าฉันทำได้ดี หัวใจพองโตมาก ความรู้สึกแบบนี้ต้องลองทำเอง แล้วจะรู้ว่ามันดีอย่างไร ฉันต้องต่อสู้กับตัวเอง อย่างมากในวันนี้ ขาของฉันยังไม่หายเจ็บ เดินก็ยังรู้สึก แต่ฉันเลือกที่จะวิ่ง เพราะถ้าไม่อย่างนั้นฉันต้องซ้อมและหยุด ฉันไม่ชอบที่เป็นแบบนี้ มันไม่ต่อเนื่อง วันนี้พอเข้ากิโลเมตรที่ 5 ฉันเริ่มเจ็บและเจ็บทั้งสองข้างเลย และเริ่มเหนื่อยหอบ ฉันคิดว่าฉันเหนื่อยเลยหาข้ออ้างว่าเจ็บ เพื่อที่จะไม่รู้สึกผิดที่ยอมแพ้ และวันนี้ถึงจะเจ็บถึงจะเหนื่อยแต่ฉันก็กัดฟันวิ่ง และก้าวผ่านความเจ็บความกลัวนั้นมาได้ เอาจริงๆความเจ็บก็ยังคงอยู่ แต่ฉันเลือกที่จะไม่สนใจมัน แต่ฉันรู้สึกดีมากกว่า ที่วิ่งเสร็จ ฉันชนะตัวเองได้อีกครั้ง จริงๆแล้วฉันอยากจะหยุดวิ่งหลายครั้งมากวันนี้ แต่ก็ยังคงวิ่งและวิ่ง ฉันว่าการวิ่งและการออกกำลังกาย ไม่ได้บริหารร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่มันยังเป็นฝึกความแข็งแกร่งของจิตใจได้ด้วยค่ะ
ในเรื่องของการกินฉันยังกินเหมือนเดิม คือ Intermittent fasting ช่วงเวลาก่อนที่จะไปยิมท้องว่างเช่นเดิม แต่ฉันก็ยังคงมีแรง การทำ If ของฉันเป็นการพิสูจน์ เรื่องความเชื่อการกินข้าวเช้า ว่าเป็นมื้อสำคัญ สำหรับฉันการกินจะกินตอนไหนก็ได้แต่ต้องไม่กินก่อนนอน ถ้าจะกินก็ก่อนสัก2 ชั่วโมง เว้นระยะให้อาหารได้ย่อย แต่เป็นระยะเวลา 9 เดือนแล้ว ที่ไม่กินอาหารก่อนออกกำลังกาย ฉันแข็งแรงกว่าเดิมหลายท่าบริหารฉันเล่นได้น้ำหนักมากกว่าเดิม และยังวิ่งได้ 9-10กิโลเมตร ภายในเวลา 1 ชม.กว่าๆ ยังมีแรงสปีดปลาย ที่เขียนมาทั้งหมดฉันทดลองทำด้วยตัวเอง และผลลัพธ์มันคือเรื่องจริง เวลาที่ฉันกิน เริ่ม 10.00น.และมื้อที่สอง 16.00น. ฉันกิน 6 ชั่วโมงโดยแบ่งกิน 2 มื้อ การกินก็ไม่ได้คลีนจ๋า เลือกกินที่สะดวก แต่กินข้าวเยอะมาก เน้นโปรตีนให้เพียงพอ กินผัก ผลไม้ สรุปคือ กินหลากหลายและกินให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ แหล่งที่มาของโปรตีนที่ฉันกินเป็นประจำ ก็คือ ไข่ อกไก่ ปลา ถ้ากินข้าวและโปรตีนเพียงพอจะทำให้อิ่มและไม่หิวระหว่างมื้อที่อยากจะกินของจุบจิบ ข้าวไม่ได้ทำให้อ้วนมากมายได้เท่ากับขนม ของหวาน หรือของจุ่มทอด เมื่อเลิกกลัวการกินข้าวก็ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นเยอะเลย ได้กินอิ่มและพลังงานไม่เกิน ส่วน 18 ชั่วโมงที่เหลือ ก็อดค่ะ หรือกินน้ำ ตอนแรกๆฉันก็หิวนะคะ แต่ถ้ากินข้าวพอและโปรตีนถึง ก็ไม่หิวแล้วคะ ฉันไม่ได้ทำ If ทุกวันถ้ามีเหตุการณ์พิเศษ ที่มีต้องกินข้าวเย็นกับครอบครัว หรือกับเพื่อนๆ ก็ยังไปได้ ชีวิตมันต้องมีความยืดหยุ่น และเราจะสนุก เดี๋ยวนี้เราเข้าถึงข้อมูลกันได้มากขึ้น ความรู้ใหม่ๆ ก็มีมากฉันก็เลือกในแบบที่เหมาะสมกับตัวเอง แต่ไม่ใช่หลับหูหลับตาทำตาม เราต้องศึกษาให้เยอะๆ นำข้อมูลมาวิเคราะห์ พิจาณากับองค์ความรู้ที่มี และลงมือปฏิบัติจริง ที่ฉันเขียนมา ฉันทดลองกับตัวเองแล้วทุกอย่าง ถึงได้เอามาแบ่งปัน แต่ก็นั่นแหละ การจะไปให้ถึงเป้าหมาย ไม่ได้มีวิธีเดียว ก็ขอให้เลือกวิธีที่ทำแล้วชอบสนุก ทำแล้วไม่รู้สึกฝืนจนมากเกินไป คิดว่าจะทำไปได้ยาวๆ และทำด้วยใจที่มุ่งมั่น สำหรับฉันเป้าหมายคือการมีสุขภาพที่ดีค่ะ
วันนี้ร่ายยาวเลยค่ะ เขียนเพื่อบันทึกเป็นความทรงจำ เพื่อเตือนตัวเองด้วยว่า เผื่อวันไหนรู้สึกขี้เกียจ หรือไม่มีแรงบันดาลใจ จะได้กลับมาอ่านว่าฉันเคยมีความกระตือรือร้นแค่ไหนที่จะทำสิ่งนี้ นี่เป็นบทเริ่มต้นในเรื่องวิ่ง ฉันเริ่มซ้อมจริงจังมาก็ 2 เดือนแล้ว และฉันก็หวังว่าบทความของฉันจะเป็นประโยชน์ ต่อใครก็ตามที่ได้เข้ามาอ่าน เพราะนี่คือพื้นที่ ที่ฉันมีไว้แบ่งปันเรื่องที่ดี
So it’s getting cooler now! Winter is coming!
วิ่งได้ไกลจังเลยค่ะ แต่ถ้าเจ็บขาก็อยากให้ระวังนะคะ