สวัสดีค่ะชาว steemit ที่น่ารัก ไม่ได้โพสต์มาหลายวันเลย แต่ก้อเข้ามากดโหวตให้เพื่อนๆ อยู่ประปราย ต้องขอโทษด้วยนะคะ ช่วงนี้ยุ่งๆวุ่นวายกะการเลี้ยงหลานตัวเล็กอยู่ค่ะ แต่ถึงจะวุ่นวายแค่ไหนก้อยังคิดถึงทุกคนนะคะ อิอิ ใครคิดถึงเราบ้างป่าวแว้
เข้าเรื่องซะทีเน๊าะ เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวานแม่หมูทำกับข้าวพิเศษแหละค่ะ หลายคนดูรูปแล้วจะพูดว่า พิเศษตรงไหนฟะ?? ก้อแค่แกงอะไรสีดำๆในถ้วย ที่แม่หมูบอกว่าพิเศษ ก็เพราะแกงนี้ทำให้คิดถึงแม่ของแม่หมูน่ะสิคะ แม่เคยทำให้กิน อร่อยด้วย แม่บอกว่า หัดกินอะไรที่ไม่ใช่ผัดๆทอดๆซะมั่งนะ ดูสิอ้วนจนจะเป็นหมูอยู่แล้ววว อยากเถียงแม่เหลือเกินว่า หมูที่ไหน ช้างตะหาก อิอิ แต่แม่หมูเป็นคนโบราณ เชื่อคำโบราณที่ว่า "บ่ฟังความพ่อแม่ ผีแก่เข้าหม้อนรก" เลยไม่เถียงล่ะค่ะ
แกงนี้ไม่มีชื่อนะคะ ถามแม่ แม่ก้อบอก ก็แกงเห็ดใส่ผักไง เอ๊าว์ ขุ่นแม๊...แม่หมูเลยตั้งชื่อเองเลยว่า แกงเห็ดรวมมิตรน้ำใบย่านาง เป็นแกงแบบคนอิสาน คือแกงง่ายๆมีอะไรก็ใส่ๆลงไปในหม้อ แหะแหะ ...ไม่ใช่สิ...แกงลาวแบบชาวเราคือพริกแกงไม่ต้องมีเครื่องมากมาย มีเพียงพริกกับข้าวเบือ(ข้าวสารเหนียวแช่น้ำ แล้วเอามาตำให้ละเอียด ใช้ผสมลงไปในน้ำย่านางเพื่อให้น้ำแกงข้น) เท่านี้พอ เพราะไม่ใช่แกงเนื้อหรือปลาที่ต้องเพิ่มตะไคร้ หอมแดง และกระเทียม ลงไปตำเป็นพริกแกงเพื่อดับคาว เห็นไหมคะ พริกแกงของอิสานกับของภาคกลางต่างกันตรงนี้เอง
ส่วนผสมเครื่องแกง
-น้ำใบย่านาง ปริมาณมากน้อยตามปริมาณเห็ดและผักที่จะแกง
-พริก ชอบเผ็ดมากใส่มาก เผ็ดน้อยใส่น้อย ไม่ใส่ก็ไม่เผ็ด
-ข้าวเบือ ปริมาณ 2 ทัพพี
-เห็ด ตามใจชอบ ชอบเห็ดไรก้ใช้เห็ดชนิดนั้น แม่หมูใช้ เห็ดลม เห็ดขอนขาว เห็ดหูหนู เห็ดเข็มทอง เห็ดนางฟ้า
-ผัก ใช้ บวบ ฟักทอง ยอดผักไชยา ชะอม ผักหวาน ใบแมงลัก
-น้ำปลา
-ปลาร้า
ขั้นตอนแกง
-ผสมน่ำใบย่านางกับข้าวเบือ และพริก คนให้แตก
-ยกตั้งไฟ คนอย่าให้ข้าวเบือติดก้นหม้อ
-พอเดือดใส่เห็ด รอให้เดือดอีกที
-ใส้ฟักทอง กับบวบลงไป รอให้สุก
-ปรุงรสด้วยน้ำปลาร้า และน้ำปลา ให้รสออกนัวๆ(อร่อย)
-ใส่ผักหวาน ผักไชยา รอให้ผักสลบ ตามด้วยชะอม และใบแมงลัก ยกลงได้เลย อย่าให้ผัดเหลือง หรือเละ
เป็นอันเสร็จเรียบร้อย จะทานกับข้าวสวยหรือข้าวเหนียวก้อแซ่บส์ ค่ะ
แกงนี้เหมาะสำหรับคนที่รักสุขภาพหรือคนที่อยากไดเอท แกงไม่มีเนื้อ ไม่มีมัน ไม่มีน้ำตาล ไม่มีผงชูรสเลย คนสัมยก่อนจีงอายุยืน และไม่มีโรคเบาหวาน ความดัน หลอดเลือด หัวใจ เหมือนคนสมัยนี้ไงคะ และส่วนผสมในแกงเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่นำมาทำเป็นอาหาร เรามาดูกันว่าส่วนผสมแต่ละอย่างมีประโยชน์อย่างไร กินอาหารเป็นยาได้ยังไง
1.น้ำใบย่านาง หมอยาโบราณถือว่าเป็นยาเย็น เป็นสมุนไพรที่มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ และยังมีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายอีกมากมาย เช่นวิตามิน A วิตามินB1 วิตามินB2 วิตามินB3 และวิตามินC แล้วยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีนในปริมาณค่อนข้างสูง นิยมนำมาเป็นเครื่องปรุงรสช่วยเพิ่มความกลมกล่อมของอาหารและลดความเผ็กร้อนของพริก เช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ แกงเลียง แกงหวาน แกงเห็ด แกงขี้เหล็ก
2.พริก มีวิตามินและแร่ธาตุเช่น วิตามินเอ วิตามินบี 6 วิตามินซี โดยในพริก 100 กรัม จะมีวิตามินซีสูงถึง 144 มิลลิกรัม และมีธาตุแมกนีเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุเหล็ก ใยอาหาร แล้วยังเพิ่มความอยากอาหารได้อีกด้วย แนะนำว่าคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร ไม่ควรทานพริกเพราะจะทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหารได้
3.ข้าวเบือ คือข้าวสารเหนียวแช่น้ำแล้วนำมาตำให้ละเอียด ช่วยให้น้ำแกงเข้มข้น ภูมิปัญญาคนโบราณเมื่อเวลาแกงเห็ดแต่ไม่รู้ว่าเห็ดนั้นเป็นเห็ดพิษหรือไม่ จะแกงข้าวสารเหนียวลงไปด้วย เพื่อทดสอบ หากข้าวสารกลายเป็นสีดำแปลว่า เห็ดนั้นเป็นเห็ดพิษ กินไม่ได้แล้ว
4.เห็ดนานาชนิด เป็นแหล่งอาหารโปรตีนจากธรรมชาติที่ปราศจากไขมัน มีปริมาณน้ำตาลและเกลือค่อนข้างต่ำมีรสชาติและกลิ่นที่ชวนรับประทาน อุดมไปด้วยวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินบีรวม (ไรโบฟลาวิน) และไนอาซิน ในส่วนของเกลือแร่ เห็ดจัดเป็นแหล่งเกลือแร่ที่สำคัญ เช่น ซิลิเนียม โปแตสเซียม และทองแดง
5.ผักหวานมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส ที่สามารถบำรุงกระดูกและฟัน แล้วยังมีแมกนีเซียม ที่สามารถบำรุงกล้ามเนื้อและร่างกาย
6.ฟักทอง เป็นแหล่งรวมเบต้าแคโรทีน ซึ่งส่งผลดีต่อผิวพรรณ อีกทั้งยังคงช่วยบำรุงตับและไต พร้อมทั้งสายตาได้อีกด้วย
7.บวบหอม รังบวบจะมีรสหวานเป็นยาเย็นช่วยขับความร้อนคลายความร้อนในร่างกาย ดับร้อนถอนพิษ ช่วยระบายท้อง ขับลม แก้เลือดออกทางเดินอาหาร แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ
8.ผักไชยา บ้านแม่หมููเรียกว่าผักผงชูรส เพราะรสชาติ จะคล้ายๆใบคะน้า ,ไม่เหม็นเขียว,ไม่มีรสขม ออกหวานๆมันๆ คล้ายๆผักหวานบ้าน เป็นแหล่งที่ดีของโปรตีน, วิตามิน, แคลเซียม, โพแทสเซียม และเหล็ก และสารต้านอนุมูลอิสระ ใบผักไชยายังมีระดับสารอาหารสูงกว่าผักใบเขียวชนิดใด ๆ ที่ปลูกบนดินถึง 2-3 เท่า แต่ใบผักไชยาดิบมีสารพิษจำพวกไซยาไนด์ หากจะทานต้องทำให้สุกก่อน
9.ใบแมงลัก มีสรรพคุณเป็นยาขับลม ขับเหงื่อ แก้ไอ บรรเทาอาการปวดฟันได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีสารเบต้าแคโรทีนสูง มีธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 เส้นใยอาหาร และไนอาซีน ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก อีกทั้งยังช่วยดูดซึมของเสียที่อยู่ในไตและยังช่วยกระตุ้นให้ขับออกมาทางปัสสาวะอีกด้วย
ประโยชน์มากมายมหาศาลขนาดนี้ แม่หมูขอเชิญชวนชาว steemit ที่รักสุขภาพ ลองทำทานกันดูนะคะ ผลเป็นอย่างไรมาเล่าให้ฟังบ้างเด้อจร้าา ตอนนี้แม่หมูขอเชิญทุกคนทานข้าวกับแม่หมูด้วยเลยละกัน ทำไว้หม้อเบ้อเร่อ แถมข้าวเหนียวนุ่มๆเป็นกระติ๊บเลย
ขอขอบคุณ เพื่อนๆทุกคน ที่ติดตาม เรื่องราวของแม่หมู ยอมรับว่าเขียนไม่ค่อยเก่งนัก ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกคะแนนโหวต + คอมเม้นท์ นะคะ
จากใจ@Maemooค่ะ
กำลังกลับมาจากสวน ถ้าอยู่ใกล้จะไปขอกินด้วยแล้วครับ ^^ หลานกำลังน่ารักเลยครับ สุขภาพแข็งแรงโตไวๆนะครับ สู้ๆครับคุณยายยังสาว 😊😊
เสียดายเน๊าะ ไม่เป็นไรค่ะ แม่หมูทานเผื่อเลยละกัน ขอบคุณสำหรับกำลังใจ สู้ๆ ค่ะ
เสียดายถ้าเมื่อก่อนผมกินแบบนี้ ในร่างกายผมคงไม่มีเบาหวาน ความดันสูง และ ไขมัน
ยังไม่สายดอกค่ะ แค่ปรับวิธีกิน เวลานอน แล้วก้อออกกำลังกาย เดี๋ยวก้อดีขึ้นนะคะ ถ้าอยู่ใกล้จะแนะนำให้ทานยูมีโกลด์กะแปดเซียน
ตะแซป เด้ค่ะ น่ากินมากค่ะ คิดถึงบ้านเลย
แซบอะหลีค่ะ ชิมแล้ว อิ่มเลยยยย กลับบ้านเรา รักรออยู่ อิอิ
น่าทานสุดๆคะ
ขอบคุณค่ะ...ทานด้วยกันนะคะ