เมื่อคุณทำธุรกิจได้สักระยะหนึ่งแล้วพบว่าระบบ การเงินในธุรกิจ ของคุณนั้นดันเกิดปัญหา ชักหน้าไม่ถึงหลัง เงินไม่พอ หมุนไม่ทัน ยอดรายจ่ายสูงกว่ารายรับ หลายคนอาจเลือกมองหาแหล่งเงินทุนเพิ่ม เพื่อมาจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่จริงๆ แล้วการหาแหล่งเงินทุนมาโปะปัญหาที่เกิดขึ้นควรเป็นวิธีสุดท้าย แต่สิ่งแรกที่ควรทำคือ ต้องจัดการระบบการเงินในบริษัทให้ได้เสียก่อน เพื่อที่คุณจะได้ใช้เงินลงทุนที่ได้มาใหม่นั้นให้คุ้มค่าที่สุด และหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาแบบเดิมอีก
1.จัดการหนี้สิน
พยายามจัดการหนี้สินของคุณให้เป็นระบบระเบียบ ลิสต์รายการหนี้สินของคุณที่มีอยู่ออกมาทั้งหมด แล้วลำดับความสำคัญของหนี้ต่างๆ อย่ารอให้ถึงวันครบกำหนดจ่าย การจัดรายการหนี้แบบนี้จะทำให้คุณเห็นว่า อะไรที่จำเป็นต้องรีบจัดการและอะไรพอที่จะจัดการทีหลังได้ หนี้ที่มีอยู่จะได้ไม่ถูกสะสมเพิ่มเป็นภาระของคุณในอนาคต
2.ลดภาระค่าใช้จ่าย
เช่นเดียวกับการจัดการหนี้สิน อย่างแรกคือ ลองวิเคราะห์รายจ่ายที่เกิดขึ้นในทุกเดือน เช่น ค่าจ้างพนักงาน ต้นทุนการผลิต ต้นทุนวัตถุดิบ เรียงลำดับความสำคัญรายจ่ายของคุณ เช่น รายจ่ายจำนวนมากไปถึงน้อย รายจ่ายจำนวนมากที่สุดจะต้องจัดการภายในเมื่อไร เพื่อจะทำให้คุณแบ่งสัดส่วนการใช้จ่ายของเงินคุณได้ถูก ที่สำคัญคือ พยายามลดต้นทุนสินค้าให้ได้มากที่สุด เช่น การหาแหล่งวัตถุดิบที่ถูกกว่า หรือเปรียบเทียบราคาของบริษัทซัพพลายเออร์หลายๆ ที่ เพื่อให้คุณได้ต้นทุนที่ต่ำที่สุด และยังช่วยลดรายจ่ายของคุณในระยะยาวอีกด้วย
3.ขายสินทรัพย์ที่ไม่จำเป็น
ลองสังเกตว่าวัสดุหรืออุปกรณ์อะไรที่คุณซื้อมาแล้ว ถูกเก็บนานจนลืมและไม่ได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ควรนำออกมาขายแบบลดราคาเพื่อเพิ่มรายรับให้บริษัท วิธีนี้อาจจะแก้ปัญหาได้ชั่วคราว แต่ก็สามารถเพิ่มเงินสดมาจ่ายหนี้สินบางส่วนและนำมาใช้เป็นเงินหมุนได้สักระยะหนึ่ง ทั้งนี้ก็ถือซะว่า คุณเองจะได้มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น นอกจากนั้นเครื่องมือหรือเครื่องจักรที่ซื้อมาราคาสูงและไม่ได้ใช้งาน ก็สามารถปล่อยเช่าเป็นรายได้ระยะยาวก็ยังได้
4.ปล่อยโปรโมชั่น/ลดราคาสินค้า
การทำโปรโมชั่นหรือลดราคาสินค้า สามารถเพิ่มยอดขายให้คุณได้ดี จำนวนกำไรต่อชิ้นอาจจะลดลง แต่ถ้าสามารถขายได้จำนวนมากขึ้น ก็อาจจะดีกว่าขายได้น้อยหรือขายไม่ได้เลย โดยเฉพาะสินค้าที่ไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก นอกจากจะสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ แล้ว ก็ยังเป็นการเอาใจลูกค้าขาประจำอีกด้วย แต่ข้อควรระวังในการลดราคานั้น ควรทำเฉพาะช่วงที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น เพราะหากคุณเอาแต่ลดราคา ลูกค้าอาจเคยชินกับการลดราคา หากคุณเลิกลดราคาเมื่อไร เขาก็จะหันไปซื้อเจ้าอื่นๆ ทันที
5.เพิ่มราคาสินค้า
วิธีนี้แนะนำว่าให้ทำเมื่อคุณคิดว่าจำเป็นเท่านั้น เช่น ต้นทุนการผลิตหรือต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นจนทำให้ต้นทุนต่อชิ้นมีราคาสูงขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องแจ้งเหตุผลลูกค้าด้วยว่าเพราะอะไร การขึ้นราคานี้คุณจะต้องมั่นใจว่าลูกค้ายังเห็นข้อดีและความคุ้มค่าที่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มในการใช้สินค้าหรือบริการของคุณต่อ และเขาจะไม่หนีไปพึ่งเจ้าอื่นที่สามารถใช้ทดแทนกันได้
6.เพิ่มตัวเลือกในการจ่ายเงินของลูกค้า
การจ่ายสด งดเชื่อ อาจจะใช้ไม่ได้ในยุคเทคโนโลยีแบบนี้ ทริคง่ายๆ ที่จะเพิ่มยอดขายให้คุณคือ ลองเพิ่มตัวเลือกการจ่ายเงินให้ลูกค้า ทั้งการจ่ายผ่านบัตรเครดิต Online banking หรือถ้าธุรกิจของคุณสามารถซื้อขายออนไลน์ได้ PayPal ก็ถือว่าสำคัญ แถมยังเป็นระบบที่ใช้ได้ทั่วโลก แปลงค่าเงินให้คุณแบบอัตโนมัติ ไม่มีการชาร์จเงินลูกค้าคุณเพิ่ม การเพิ่มความสะดวกในการจ่ายเงินให้กับลูกค้า ยังเป็นการเพิ่มฐานกลุ่มลูกค้าให้ธุรกิจของคุณอีกด้วย
ถ้าวิธีที่กล่าวมานั้นยังไม่สามารถช่วยลดปัญหาได้ คุณอาจจะต้องมองหาเงินทุนเพิ่ม จากการกู้ธนาคารหรือการหยิบยืมจากคนรอบตัว แต่การยืมเงินจากครอบครัวหรือเพื่อน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพวกเขา คุณจะมีวิธีการการจัดการอย่างไร เพื่อให้การทำธุรกิจของคุณไม่สร้างปัญหาให้กับคนรอบข้าง อย่างหนึ่งที่สามารถรักษาผลประโยชน์และความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายไว้ คือในระยะยาวอาจจะเสนอเป็นเงินปันผลหรือดอกเบี้ยให้กับพวกเขาพร้อมทั้งทยอยจ่ายเงินต้นไปด้วย
นี่อาจจะเป็นวิธีง่ายๆ ที่คุณสามารถจัดการระบบการเงินด้วยตัวเองได้ หากรู้สึกว่าตัวเองจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ไม่ดีนัก ก็ลองหาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหรือที่ปรึกษาด้านธุรกิจให้คำแนะนำกับคุณดู อาจจะทำให้คุณรู้วิธีการแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาวได้นะครับ
ขอบคุณบทความจาก http://amarinacademy.com/1719/finance/financial-problems/