Tom Hiddleston โลกิสุดหล่อ สามีแห่งชาติ มาดูซิว่าทำไมสาวๆ ถึงกรี๊ดเขา

in #thai7 years ago

ทอม ฮิดเดิลสตัน ผู้ชายฉันใครอย่าแตะ

เรื่องโดย Taffy Brodesser-akner

*ผลงานนี้เป็นงานแปลของเราเองค่ะ

บางทีคุณอาจจะได้ยินชื่อเขาจากข่าวคราวความรักล่าสุดกับเทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ที่ยามรักน้ำต้มผักก็ว่าหวานกันได้แค่สามเดือน แต่จะบอกว่าพ่อหนุ่มเนื้อหอม ทอม ฮิดเดิลสตัน (Tom Hiddleston) คนนี้ดังมานานแล้วโดยไม่ต้องเกาะกระแสหญิงใด เขาเป็นทั้งตัวร้ายในหนังของมาร์เวล แถมยังเกือบได้เป็นว่าที่เจมส์ บอนด์คนใหม่ แถมเล่นซีรีย์สอย่าง Night Manager ก็รับบทนำหาใช่บทไก่กาไม่ แถมคนบ้าอะไรใส่สูทแบบไหนก็หล่อลาก (อย่างฉบับนี้ ที่ใส่สูทสีน้ำตาลของซีซั่นนี้ได้อย่างไร้ที่ติ) เหยี่ยวข่าวอย่างแทฟฟี โบรเดสเซอร์-แอคเนอร์ (Taffy Brodesser-akner) ของเราจึงรีบบึ่งไปลอนดอนเพื่อสัมผัสเสน่ห์หนุ่มอังกรี๊ดดดดด อังกฤษ และไปสืบเรื่องแผลใจของเขากับแม่เทย์เลอร์ให้เราได้แซ่บกันต่อ

ซอสโบโลเนสฝีมือทอม
นี่มันซอสโบโลเนสจากสวรรค์หรือเปล่า เกิดมาไม่เคยกินโบโลเนสที่ไหนอร่อยแบบนี้ ถ้าคุณบอกว่าอร่อยกว่านี้ก็เคยกินมาแล้ว ขอบอกว่าให้มาลองซอสโบโลเนสจากปลายจวักของทอม ฮิลเดิลสตันค่ะ (พอสุกหอมเป็นสีน้ำตาลบนเตาแล้วให้เอาเข้าเตาอบต่อ นี่คือเคล็ดลับ และต้องมีเบคอนกับเนย ทอมปลื้มเบคอนกับเนยมาก) เมื่อคืนเขาทำโบโลเนสให้ฉันกิน หลังจากเราไปตระเวนเดินทัวร์ลอนดอนในต้นเดือนมกราคมกันอยู่สองวัน ครึ่งแรกไปเดินเล่นกันซักสิบไมล์ได้ก่อนตะวันตกดิน แล้วก็เดินคุยกันกระหนุงกระหนิงรอบเมือง อีกครึ่งเรามางานเสวนาปรัชญาจากหนังเรื่อง My Dinner with Andre แล้วเขาก็พาเราไปที่บ้านที่ Camden (อยู่คนเดียวนะจ๊ะ) เย็นนั้นเขาทำกับข้าว แล้วก็นั่งดูบทวิจารณ์หนัง Moonlight (คนเดียวอีกเหมือนกัน) แล้วก็นั่งยันนอนยันว่าหนังแจ่มมาก ดีมาก ได้รางวัลแน่ แถมซึ้งด้วย เหมือนอย่างที่หลายคนว่ามา เขาอุ่นซอสโบโลเนสให้ฉันกินแล้วเราก็คิดกันว่าวันนี้จะทำอะไรดี ซึ่งก็ไม่พ้นไปเดินสวนสวยๆ อีกแน่นอน แหม ซื้อหวยทำไมไม่ถูกอย่างนี้หนอ เมื่อวานเขาพาไปสวน Regent’s Park จะพาไปเดิน Hyde Park ก็แหม นะ ใครๆ ก็รู้จัก แต่ถามหน่อยมีใครรู้จัก Regent’s Park บ้าง ไม่มี ฉันต้องไปดูให้เห็นกับตาให้ได้ และพอไปถึงสวน ฉันก็สบโอกาสดึงเครื่องอัดเสียงดิจิตัลเครื่องจิ๋วของโอลิมปัส (Olympus) เพื่อนคู่ใจของฉันขึ้นมา พ่อหนุ่มทอมถึงกับผิวปากแซวเฟี้ยวฟ้าวว่า “พี่โอลิมปัส ของพี่ดีจริงๆ นะครับ” เพราะว่าสมัยเรียนที่ Royal Academy of Dramatic Art เขาเคยใช้เครื่องนี้ทดสอบฟังสำเนียงตัวเองอยู่
tom-hiddleston-loki.jpg
Image from Marvel

เขาชอบเดินทอดน่องคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ท่องบทบ้าง คิดเรื่องชีวิตบ้าง ทั้งเรื่องชวนดีใจ (เป็นตัวร้ายของมาร์เวลที่คนรักทั่วบ้านทั่วเมือง คว้ารางวัลลูกโลกทองคำจาก The Night Manager ลือกันว่าจะได้เป็นหนุ่มบอนด์คนต่อไปบ้างล่ะ หรือว่าเป็นทูตยูนิเซฟของอังกฤษให้กับประเทศซูดาน) และเรื่องชวนปวดใจ (คู่รักฉายา “Hiddleswift”) ตอนวันปีใหม่เขาบอกว่าสวน Regent’s Park นี่สวยยิ่งกว่าตอนที่เราเดินกันอยู่นี่อีก มีหมอกบางๆ และมีจุดตะเกียงสร้างบรรยากาศ แต่ว่ามองอะไรไม่เห็นหรอกนะ ทำให้เขาหวนนึกถึงลอนดอนสมัยก่อน ที่เขารักช่วงเวลานั้นมาก เป็นภาพของลอนดอนอย่างที่ J. M. Barrie เขียนไว้ในบทประพันธ์ ช่วงนั้นใช้ชีวิตกันง่ายๆ สบายๆ กว่านี้มาก

โบโลเนสของเขาเย็นเชียว ถึงจะไปอุ่นมาแล้วก็เถอะ แต่ถึงเย็นยังไงก็ยังอร่อยนะ

แต่ได้โปรดอย่าคิดว่าพ่อหนุ่มคนนี้หลงตัวเองที่ทำซอสโบโลเนสเป็นนะคะ เขาเป็นคนสนใจใฝ่รู้ทุกเรื่อง ชื่นชมทุกคน ถ้าพูดถึงบารัค โอบามา (Barack Obama) ล่ะว่าไง (“คนนี้ใจเย็นสุขุมมาก”) พูดถึงผู้กำกับ Thor อย่างเคนเนธ บรานาห์ (Kenneth Branagh) บ้างสิ (“คนอะไรใจกว้างอย่างกับแม่น้ำ”) นิยายเรื่อง Purity ของโจนาธาน ฟรานเซ่นล่ะ (Jonathan Franzen) (“เหมือนโลกอินเทอร์เน็ตนั่นแหละ คนเราถูกมองไปในแบบชั่วร้ายได้ยังไง”) เอ้าแล้วอนิเมชั่นเรื่องโมอานาล่ะ (“เรื่องนี้ดีเว่อร์) คิดยังไงกับเดวน จอห์นสัน (Dwayne Johnson) (“ใครอยู่ใกล้ก็มีแต่ความสุข”) แล้วแมตต์ เดมอนล่ะ (Matt Damon) (“ผมว่าคนนี้มีศีลธรรมสูง”) แล้วไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ล่ะ (Michael Fassbender) (“ยอดเยี่ยมเหนือชั้น”) ชีวิเทล เอจิโอฟอร์ล่ะ (Chiwetel Ejiofor) (“สุดยอดมาก”) แล้วพอถามถึงโจ๊กที่เขาทำ ก็แค่โจ๊กข้าวโอ๊ตใส่นมอัลมอนด์กับเมล็ดเจีย (“กินทุกวันไม่มีเบื่อ”)

จำไว้เลยว่าถ้าได้รู้จักคนอย่างทอม ฮิลเดิลสตันแล้วจะรู้ว่าคนอย่างเขานั้นเมื่อคลั่งไคล้อะไรแล้ว ไม่มีวันสิ้นสุด ซึ่งไม่ใช่ชีวิตส่วนตัวของเขาที่เราไม่เคยรู้ แต่คิดว่าเราได้รู้กันเยอะมากแล้ว อย่างเช่นว่า คุณคงรู้แล้วแหละว่าเขาเป็นนักแสดงที่เอาอยู่ทุกบท และทิ้ง “ลายเซ็น” ไว้ในทุกบทบาทที่เขารับเล่น ไม่ว่าจะเป็นนักสืบใน The Night Manager เป็นแวมไพร์ใน Only Lovers Left Alive ของ Jim Jarmusch เป็นเทพโลกิใน Thor งั้นไม่พูดเรื่องที่คุณรู้อยู่แล้วดีกว่า มาพูดเรื่องสิ่งที่คนเห็นปุ๊บรู้เลยว่านี่คือทอม คุณอาจจะรู้อยู่แล้วว่าเขาคือหนุ่มผู้ดีอังกฤษที่ไม่เคยปริปากเรื่องความรัก และให้เกียรติเพื่อนร่วมงานอย่างจริงจังบนโลกโซเชียล และเป็นคนที่ไม่เคยทำกิริยาไม่ดีต่อปาปารัสซี่แม้ว่าจะถูกตามติดชนิดไม่ให้คลาดสายตาหลังจากเลิกกับเทย์เลอร์ คนที่ไม่เคยปริปากบ่นหรือด่าลับหลังซักคำแม้ว่าฉันจะเทียวไล้เทียวขื่อแทบจะสิงเขาอยู่หลายชั่วโมงเพราะว่าบางทีแม่เขาอ่านแล้วอาจจะผิดหวังก็ได้ ถ้าคุณเห็นทอม ฮิดเดิลสตัน โดยไม่เคยอ่าน Daily Mail และ In Touch Weekly มาก่อน คุณคงคิดว่า นี่ล่ะพ่อรูปหล่อเทพบุตรมาจุติ คนที่ไม่เคยปล่อยความสามารถตัวเองให้สูญเปล่า ซึ่งเป็นสิ่งที่หายากในโลกสมัยนี้ แถมยังสูงโปร่งหุ่นดี ปกติสิ่งที่เราเรียนรู้จากการไปสัมภาษณ์คนดังบ่อยๆ คือตัวจริงมักจะเตี้ยกว่าที่บอกกับสื่อ แต่ไม่ใช่เขาคนนี้ หล่อสูงแมนแฮนด์ซั่ม นี่เขาเข้าครัวไปชงชาให้ถ้วยที่สามแล้ววันนี้ กว่าจะสัมภาษณ์เสร็จ ฉันว่าคงไตพังกันไปข้าง

ตอนนี้เรานั่งอยู่ใต้ภาพถ่ายฉากอวดบารมีใส่กันระหว่างเดนิโร กับอัลปาชิโนจากเรื่อง Heat ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังโปรดของทอม และยังมีโปสเตอร์จากเรื่องเดียวกันอีกอยู่ในห้องอ่านหนังสือ แต่อีกอย่างหนึ่งที่เขารักมากคือ ทอม แฮงค์ ที่สุดแห่งมืออาชีพ ไม่แปลกเลยที่ทอมคนนี้จะปลื้ม เพราะเป็นคนประเภทเดียวกัน
index2.jpg
image from GQ

“เขาทำอะไรแล้วตั้งใจทุ่มสุดตัว” เขาบอกเรา แม้แต่หนังตลก แม้แต่หนังอย่าง Turner & Hooch “ผมเทียบกับทอม แฮงค์ไม่ติดเลยครับ ความทุ่มเทของเขานี่ผมไม่กล้าเทียบเลย เขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นศิลปะชั้นสูง แต่ทุกอย่างที่เขาทำมีคุณค่าในตัวมัน” ที่เขาพยายามจะบอกก็คือ เราควรจะคิดว่าสิ่งที่เราทำลงไปได้ให้ประโยชน์อะไรกับส่วนรวมบ้าง ให้คนอื่นจดจำเราในสิ่งดีๆ ที่เราทำ และเขาได้ชมทอม แฮงก์ (เขาชมคนไปทั่วเลย ขนาดกับฉันเจอกันแค่วันเดียวเขายังชมเลยเหอะ)

ซึ่งจะให้อธิบายตรงนี้คงลำบาก แต่บอกได้ว่าลึกซึ้งมาก ข้อเสียอย่างเดียวของตานี่คือเสน่ห์เกินห้ามใจ เวลาเขาพูดอะไรหรือชมใคร เขาจะมองตาเพื่อดูว่าเราชอบที่เขาพูดหรือเปล่า ไม่ชมเปล่า ยังยิ้มหวานชวนละลายเมื่อเห็นว่าเราชอบให้เขาชมอีกเอ้า
กลายเป็นว่าเราได้เห็นคนชมมีความสุขเกินคนโดนชมว่ะ พูดก็พูดเถอะนะ ฉันว่าพ่อทอม ฮิดเดิลสตันนี่เป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องเลย เป็นผู้ชายอ่อนไหว กระตือรือร้นเกินไป ทำโบโลเนสก็อร่อย นี่ไม่ใช่ลักษณะของดาราดัง แถมยังเป็นหนอนหนังสือซอฟต์ๆ ที่เป็นหนุ่มหล่อเหมาะจะใส่สูท (หรือยีนส์ หรือเสื้อยืดสีกรมท่าแขนยาวแบบที่เขาใส่ตอนเรากินมื้อค่ำด้วยกัน) แต่อยู่ในร่างเด็กเนิร์ด แต่ฉันว่ามีคนแค่หนึ่งเปอร์เซนต์ในโลกเท่านั้นที่เป็นคนงั้นๆ แต่เปลี่ยนความงั้นๆ ให้เป็นความเท่สาวกรี๊ดสลบได้ ไอ้ความจริงใจ สนใจสิ่งที่คนอื่นพูด ทำให้ความประทับใจครั้งแรกนั้นเด็ดดวง บอกเลยว่าทอม ฮิดเดิลสตันคือคนจริง หล่อจริง ดีจริง สัมผัสได้จริง และเป็นของเราจริงๆ คนบ้าอะไรจริงใจขนาดนี้

แต่จะว่าไปเรื่องความจริงใจของเขาก็เหมือนเป็นอาวุธ Chitauri Scepter พิฆาตสองคมตามสไตล์โลกิ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เขาพูดในงานลูกโลกทองคำเกี่ยวกับผลงานที่เขาทำให้กับยูนิเซฟนั้นยังเป็นที่ฮือฮาชวนด่า ขนาดฉันเองยังดูไปกุมขมับไป ไหนจะเรื่องใส่เสื้อยืด i ♥ t.s. ที่แปลว่าฉันรักทอม ฮิดเดิลสตันมั้งแหม พี่เล่นจริงใจใส่ซื่อขนาดนี้ บางทีโลกอาจจะยังรับไม่ค่อยได้ รับไม่ได้ยังไง มาค่ะเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
35EC813100000578-3675252-image-m-17_1467728668285.jpg
image from dailymail

ความใสซื่อของทอมนั้นมีมาตั้งแต่เกิด เพราะเดินตามรอยพ่อผู้เป็นนักเคมีที่เก่งที่สุดในสามโลก ครอบครัวนี้มีบ้านอยู่ที่ Wimbledon มีแม่ผู้เป็นนักระดมหาทุนเพื่อศิลปะตัวยง และมีพี่สาวเป็นเหยี่ยวข่าวสุดสะเด็ดแห่งยุโรป รวมทั้งมีน้องสาวที่ทำอาชีพผดุงครรภ์เสียงดีประหนึ่งนกไนติงเกลมาจุติก็ไม่ปาน บ้านนี้เป็นครอบครัวชนชั้นกลาง แต่พ่อเขามีปัญญาส่งเรียนอีตั้น (Eton) เคมบริดจ์ (Cambridge) และราชสถาบันศิลปะการละคร (RADA) นะเออ เขาได้ความเป็นคนละเอียดถี่ถ้วนมาจากพ่อ ที่สอนเขาว่าอะไรผิดอะไรถูก ความจริงหรือสิ่งลวงโลก และบางครั้งคนเราต้องลงแรงมากขึ้นเพื่อให้เห็นความแตกต่าง นี่คือสิ่งที่พ่อสอนลูก และเป็นบทเรียนจากการแสดงเช่นกัน เห็นมั้ย ขนาดทอมยังรู้เลยว่าคนดูก็ต้องได้ดูนักแสดงที่เรียนมา ไม่ใช่ไก่กาตบตาเล่นเสแสร้งอย่างที่บางคนครหาว่าเป็นพวกเต้นกินรำกิน

แต่คนเราจะแสดงให้ดีได้นั้นต้องสั่งสมประสบการณ์จากตัวละครที่แสดง และแสดงออกมาอย่างถูกครรลอง และการจะทำแบบนั้นได้จะต้องเข้าหาผู้ที่คร่ำหวอดในเรื่องนั้นมาอย่างยาวนาน ยกตัวอย่างเช่นในหนังเรื่อง Skull Island (หนังเรื่อง Kong เอามาทำใหม่นั่นแหละ) เขารับบทเป็นอดีตหน่วยรบพิเศษทางอากาศแห่งกองทัพอังกฤษ (SAS) ที่ขึ้นชื่อเรื่องการสะกดรอย ได้รับการจ้างมาให้หาสิ่งที่พวกเขาอยากรู้ (รู้ทีหลังว่าเป็นสัตว์ประหลาด) รู้มั้ยว่าก่อนจะรับบทนี้ ทอมถึงกับต้องศึกษาหนังสือเรื่อง The Tracker ที่เขียนโดยอดีตนักสะกดรอยอย่างทอม บราวน์ จูเนียร์ (Tom Brown Jr) และไปฝึกกับหน่วยซีล แม้ว่านี่จะเป็นรอบที่ 70 แล้วที่รับบททหาร ไหนจะไปศึกษาโรงเรียนการรบแบบกองโจรใน Malaya ที่ว่ากันว่าทหาร SAS ไปฝึกกันในช่วงยุคหกศูนย์ เรานั่งอยู่ที่ผับที่เขาชอบใน Hampstead Heath ชื่อว่า The Bull & Last ซึ่งเป็นตอนค่ำของวันที่สอง นั่งกินสเต็กคู่กับบร็อคโคลี นั่งไปนั่งมา พอกินเสร็จ หมอนี่ก็ขอชมเสียงของผู้บรรยาย เดวิด แอทเทนเบรอะห์ (David Attenborough)ที่พากย์ให้สารคดี Planet Earth II เข้าซักหน่อย ทอมก็หาเรื่องก็บรรยายตัวเองเวลากินข้าวไป (“…ชายกินข้าวจากจานเพื่อนคือยอดชาย …”) เขาหมายความว่าถ้าไม่มีคนที่เก่งในด้านนั้นอย่างถ่องแท้ แล้วเราจะไปเรียนรู้จากแมวที่ไหน และสิ่งหนึ่งที่คนอย่างเขาอยากแก้ไขให้หายไปจากโลกมากที่สุดคือ “คนเราไม่ชอบเชื่อผู้เชี่ยวชาญ” อย่างในทวิตเตอร์ ก็รีทวีตกันเรื่องหนังกันทั่วไป แต่มีทวีตอันหนึ่งที่เตะตาออกมา เป็นบทความของ Guardian เกี่ยวกับข่าวปลอมที่เดี๋ยวนี้มีมากมาย และมีคนเอาชื่อนายกเดวิด คาเมรอน (David Cameron) ไปทำเสียๆ หายๆ เพราะ Daily Mail เอาภาพเขาเอาจู๋ทะลวงหัวหมูที่ตายแล้วเพื่อทำพิธีกรรมอะไรซักอย่าง เดาสิมาจากไหน มาจากข่าวลือบ้าบอและใครก็ไม่รู้เป็นคนพูด แต่ไม่สำคัญหรอก ทอมบอกว่าเรื่องนี้กลายเป็นเหมือนตราบาปติดตัวนายกเดวิด คาเมรอน พูดถึงเขาทีไรคนก็จะจำแต่เรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องจริงซะที่ไหนล่ะ เพราะฉะนั้นถึงเวลาแล้วที่จะ “คิด วิเคราะห์ แยกแยะ เพื่อไม่ให้คนเอาความจริงไปบิดเบือน” (จะบอกให้ว่าที่เขาพูดน่ะถูกเผง เพราะก่อนหน้าฉันจะกลับอเมริกาไม่กี่วัน มีเพื่อนคนหนึ่งส่งลิงก์จาก Daily Mail มาให้ เป็นรูปทอมกับผู้หญิงผมสีบรูเนตต์ – กูนี่ล่ะค่ะ ยืนกอดกันหนุงหนิง หัวร่อต่อกระซิก และบ๊ายบายกันอ้อยอิ่ง ก็อีตอนอัดเสียงสัมภาษณ์ที่เขาพูดถึงแอทเทนเบรอะห์ ฉันน่ะหัวเราะแล้วดันไปกอดเขาเพราะว่าเจอกันสองวันแล้ว ควรกลับบ้านได้แล้วมั้ย และเพราะว่าคนตรงหน้าคือทอม ฮิดเดิลสตัน เลยกอดซะหมับ) เออ นั่นแหละ ข่าวปลอมไร้สาระ

และนี่เป็นช่วงเวลาที่เขาได้พูดถึงเรื่องแบบนี้ เรื่องการเมือง เรื่องข่าวเรื่องอื่นๆ นอกจากบทที่ได้รับ เมื่อก่อนเขาเคยขอร้องดีๆ แต่เขาบอกว่าจะใช้ไม้อ่อนคงไม่ได้แล้ว ดูสิว่าปีก่อนเกิดอะไรขึ้นบ้างในโลกที่เราเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยที่สุดแห่งหนึ่ง เราถึงต้องสู้เพื่อสิทธิ์ตัวเองไง “ถ้าคุณถูกคุกคาม” เขาพูดเสียงกร้าวพลางจ้องตาฉันเขม็ง “ถ้าคุณค่าของคุณถูกคนอื่นย่ำยี ถ้ามีคนมาทำให้คุณอาย ถูกล้อเลียน สัตว์มันจะตอบโต้ด้วยการไปซ่อนตัวในพุ่มไม้ เพื่อให้ตัวเล็กลง และบทเรียนในปี 2016 นี้คือเราต้องเรียนรู้ที่จะรักคนอื่นมากขึ้น เสี่ยงมากขึ้น กล้าหาญมากขึ้น และต้องแสดงออกถึงจุดยืนให้ชัดเจนขึ้น” ก็เพิ่งมาสำเหนียกได้คืนนั้น หลังจากเราแยกกันแล้วว่าเขาพูดเรื่องเทย์เลอร์ สวิฟต์นี่หว่า พูดก่อนฉันจะสัมภาษณ์เรื่องเทย์เลอร์ สวิฟต์จริงๆ ซะอีก

index.jpg
image from US weekley

จะว่าไปสหสมาคมฮิดเดิลสวิฟต์นั้นเป็นที่จับตามองและชวนช็อคในสายตาประชาชีมาก แม่สาวเทย์เลอร์ใสๆ ผู้ที่ไม่รู้เรื่องเลยว่าตัวเองจะไปอยู่ในเพลง “Famous” ของคานเย่ ทั้งๆ ที่มีวิดีโอเทปอยู่ทนโท่ ดันอยากจะมีความรักเก๋ๆ ขึ้นมา บางทีแล้วหนุ่มนักแสดงชาวอังกฤษคนนี้เห็นว่าเป็นโอกาสที่จะได้ดังมากขึ้นที่นี่ บางทีแรงจูงใจสองอย่างนี้อาจจะทำให้ทั้งคู่ไปนั่งจูบกันบนโขดหิน ส่วนคนที่มีกล้องแล้วอยู่แถวนั้นก็สบโอกาสถ่ายรูปพอดี แต่...แต่...มันก็น่าจะเป็นเรื่องจริงได้ไม่ใช่หรือ ก็ทำไมล่ะ คนสวยคนหล่อเขาจะรักกันผิดตรงไหน ทั้งคู่เป็นคนดังหน้าตาดี คนหนึ่งหล่อลากตาสวยชวนฝันอย่างกับเจมส์ ดีน (James Dean) อีกคนอาจจะชอบใส่ยีนส์ฟิตเปรี๊ยะชวนให้เขาใจสั่น ขอพื้นที่ให้สองคนนี้ได้ตกหลุมรักกันหน่อยเถอะค่ะ

รักนี้หวานอยู่ได้เพียงสามเดือน ทั้งคู่ไปทานข้าวกันในร้านหรู บินมาอังกฤษเพื่อเจอครอบครัวฝ่ายชาย บินไปออสเตรเลียที่เขาต้องไปถ่ายเรื่อง Thor: Ragnarok แต่หลังจากทริปจิงโจ้ปิดฉาก รักนี้ก็ปิดฉากเช่นกัน ปล่อยให้คนคิดกันไปจากคำบอกเล่าของผู้หวังดีที่ว่ากันว่าเทย์เลอร์ไม่ชอบที่เขาแสดงความรักโจ่งแจ้งในที่สาธารณะ อย่างเช่นทอมไปเปิดเผยให้ The Hollywood Reporter ฟังและเดินยิ้มไปมาเหมือนคนตกอยู่ในห้วงความรัก เขาบอกประโยคที่ท่องจำและเตรียมไว้เสียงแผ่วๆ ที่ The Bull & Last ว่า “เทย์เลอร์เป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยม เป็นคนมีน้ำใจ ใจดี น่ารัก และเรามีความสุขด้วยกันอย่างมาก” แต่ฉันก็ไม่ได้ถามต่อหรอกนะ ฉันถามเรื่องอื่น เขาหยุดพูดไปพัก แล้วบอกต่อเองว่า “เรารักกันจริงๆ นะครับ” ฉันเลยถามว่าเขาอยากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ออสเตรเลียบ้าง เรื่องปาร์ตี้งานวันชาติอเมริกาที่เขาใส่เสื้อยืดตัวนั้น เกี่ยวกับข่าวลือที่เธอคิดว่าเขาเป็นคนกระตือรือร้นเกินไป อยากพูดอะไรบ้างมั้ยเรื่องนี้ เขาวางส้อมลง สเต็กที่ฉันกินไปยังอยู่ เหม่อมองออกไปไกล แล้วบอกว่า:

“ความจริงก็คือ วันนั้นเป็นวันชาติอเมริกาซึ่งเป็นวันหยุด เราก็เล่นเกมกัน ผมดันลื่นแล้วเจ็บหลัง ก็ไม่อยากให้ผิวโดนแดดด้วย เลยถามว่า “ใครมีเสื้อยืดให้ยืมก่อนบ้าง” เพื่อนเธอบอกว่ามี แล้วก็เอาเสื้อยืด i ♥ t.s. ที่บรรดาเพื่อนของเทย์เลอร์ทุกคนต้องมีอยู่แล้วมาให้ เราก็ขำกันอ่ะนะ เป็นเรื่องฮาๆ ” เพราะฉะนั้นคำจำกัดความของความสัมพันธ์นี้ หรืออีกนัยหนึ่งคือคำอธิบายของเสื้อยืดตัวนั้นคือ “เป็นเรื่องฮาๆ” เขาพูดย้ำ “ในวงเพื่อน” นี่ฉันขอยืนยันนั่งยันนอนยันให้เลยว่า เขาเป็นคนประเภทที่จะกล้าใส่เสื้อลาย i ♥ t.s. จริงๆ เพราะว่าใส่แล้วผิวจะไม่โดนแดดเผา แล้วทำให้เพื่อนใหม่หัวเราะได้ เดี๋ยวนะ...เขายังพูดไม่จบ “ผมต้องทำใจให้สตรองขนาดไหนคุณคิดดูถึงจะไม่ให้สิ่งที่คนอื่นคิดมาทำลายชีวิตผม ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน เราต่างก็รู้กันว่าเราเคยรักกัน คนเห็นภาพเราอยู่ด้วยกันแล้วก็ถือวิสาสะไปใส่คำบรรยายตามอำเภอใจ ไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเราซักนิด ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไป และผมต้องลำบากมากที่จะรักษาชีวิตส่วนตัวไว้ ขณะที่ต้องพยายามไม่หลบลี้หนีหน้าชาวบ้านด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ยากที่สุดคือมันเป็นเรื่องตลกในหมู่เพื่อนในวันชาติอเมริกานี่แหละ”
PAY-New-Hollywood-couple-Taylor-Swift-and-Tom-Hiddleston.jpg
image from mirror.uk

พูดจบ ยัง ยังไม่หันมามองหน้าฉันอีก สเต็กของฉันยังคาส้อมเขาอยู่กลางอากาศ แถมยังทำหน้าเศร้าอีก คนดีอย่างฉันเลยอดไม่ได้ที่จะทำตัวเป็นนางเอก จับมือเขาแล้วบอกว่า “ทอมคะ ไม่เป็นไรนะคะ ถ้าไม่อยากพูดถึงเรื่องเสื้อแล้ว ไม่พูดก็ได้นะ ฉันเข้าใจ ฉันจะบอกให้โลกรู้เอง” แต่เขาหยุดพูดไม่ได้ว่ะคุณ “ไม่รู้สิ ผมแค่แปลกใจน่ะ แปลกใจเฉยๆ ที่เรื่องมันกลายเป็นโอละพ่อแล้วคนสนใจกันขนาดนี้ กลายเป็นว่าใครพูดเรื่องนี้ก็นึกถึงแต่เรื่องเสื้อยืดตัวนั้น” เขาบอกว่าจะเล่าให้ฉันฟังยังเล่าลำบากเลย เขาอยากไว้ใจฉัน เขาอยากมั่นใจว่าโลกจะไม่เอาเรื่องนี้มาล้อเขาอีก แต่เขาไม่มั่นใจไง อย่างเดียวที่เขาแน่ใจคือพูดเมื่อไหร่เรื่องนี้ตามมาหลอนเมื่อนั้น แต่ช่างเถอะ เรื่องนี้ไม่สำคัญเท่าคนที่เขารัก “ผู้หญิงที่ผมคบนั่นโคตรแจ่ม แต่แม่เจ้าโว้ย กล้องเจ้ากรรมนั่นน่ะ ความรักท่ามกลางสายตานับล้านคู่ว่าหนักแล้ว แต่มันไม่ใช่แค่นั้น มันมีอย่างอื่นอีก” เธออยากมีความรักแบบคนธรรมดา เขาก็เช่นกัน เขาเล่าว่าเธอพูดว่า “เราตกลงไปทานข้าวกัน เราตกลงไปเที่ยวด้วยกัน” หลังจากที่เลิกกัน เขาย้ายไปออสเตรเลียเพื่อถ่ายหนังเรื่อง Thor: Ragnarok ขนาดนั้นแล้วทุกเช้าเวลาออกไปวิ่งตีห้าก็ไม่วายมีกล้องมาคอยเก็บภาพ “ผมตื่นมาวิ่งเพื่อจะได้ทำงานให้ดี จะได้เล่นเป็นโลกิให้ดี” ไม่ว่าเขาจะไปไหน จะนั่งเช็คอีเมลบนม้านั่งในสวน หรือดูเมนูอาหาร ถ้าขมวดคิ้วแค่นิดเดียวกลายเป็นว่านักข่าวเอาไปชงแล้วว่าเขาโศกเศร้าเหงาหงอย คิดดูสิว่าชีวิตลำบากแค่ไหน คริส เฮมส์เวิร์ธ (Chris Hemsworth) เคยให้ข้อคิดดีๆ กับเขา ฮิวจ์ ลอรี่ (Hugh Laurie) ก็เคยเข้ามาช่วย ครอบครัวเขาเองก็เป็นห่วง เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะต้องการอะไรจากทอม ฮิดเดิลสตัน กรุณาเอาเรื่องฮิดเดิลสวิฟต์ไปไว้ที่อื่นค่ะ เขาเองก็สับสนชีวิตพอๆ กับที่คุณและฉันสับสนนั่นแหละ
และแล้วเขาก็มองหน้าฉันซักทีแล้วพูดว่า “ผมไม่ยอมมีชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ แน่นอน”

เช้าวันถัดมา ฉันตื่นตีห้ามาเก็บกระเป๋าเพื่อจะกลับนิวยอร์ก ฉันเห็นอีเมลจากทอมที่ส่งมาคืนก่อนหน้า ถามว่าเขาจะแวะมาหาฉันที่โรงแรมเพื่อขอพูดอะไรด้วยซักอย่างได้ไหม ฉันตอบไปว่าได้เลย เขาพักอยู่ห่างไปแค่ 20 นาที อีก 15 นาทีต่อมาเขามาเคาะห้องฉัน บอกว่าเขาอยากบอกความรู้สึกของเขาอย่างตรงไปตรงมา เขาคงเป็นพวกปากว่าตาขยิบถ้าพูดถึงเรื่องความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาแต่ไม่ทำแบบนั้นกับฉัน เขาบอกว่า ฉันต้องเข้าใจว่าความสัมพันธ์เป็นเรื่องของคนสองคน ไม่ใช่เรื่องของเขาคนเดียว แต่ก็อย่างที่นายกเดวิด คาเมรอนตระหนักได้ตอนนี้ การปล่อยให้ข่าวลือสะพัดไปตามลมนั้นไม่ควรและไม่ฉลาด เขามาบอกให้ฉันรู้ว่าเขาไม่ได้เสียใจในสิ่งที่ทำลงไป “เพราะคนเราต้องต่อสู้เพื่อความรัก เราจะใช้ชีวิตด้วยความกลัวจากลมปากคนอื่นไม่ได้ เราต้องซื่อสัตย์ต่อตัวเอง”

ซึ่งฉันบอกเขาไปว่าฉันเข้าใจ เข้าใจตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แล้วตอนนี้หกโมงเช้าไงทอม ฉันต้องไปสนามบิน แต่เขาดันส่ายหัว เหมือนยังรู้สึกว่าพูดไม่หมด แต่ก็บอกว่า “ไม่เป็นไร ผมแค่มาให้แน่ใจ” ฉันปิดเครื่องอัดเสียง ยืนขึ้น แต่เขาไม่ยอมยืนด้วย แถมยังส่ายหัวอีกรอบ ประสานมือกันแน่น ทำคอตก ฉันเลยต้องนั่งลงไปใหม่แล้วคุยกับเขาต่อ เพราะฉันเข้าใจว่าเขาไม่ได้มาเพราะอยากจะอธิบายเพื่อพีอาร์ตัวเอง แต่เขามาในฐานะผู้ชายหนึ่งคนที่ยังทำใจไม่ได้ที่ต้องเลิกกับผู้หญิงคนหนึ่ง

เราจึงคุยกันต่ออีกซักพัก ว่าความรักของเขาพังไม่เป็นท่าได้ยังไง และความผิดพลาดจากความรักครั้งนี้ยังเป็นชนักติดหลังอยู่แม้จะผ่านมาแล้วหลายเดือน เราคุยกันเรื่องความเจ็บปวดจากความรัก เราคุยกันเรื่องความเศร้าโศกและวิธีดูแลใจตัวเองใหม่ เราคุยกันเรื่องว่าถ้ารักใครซักคนแล้วเป็นอย่างไรและเมื่อความรักจบลงแต่เรายังคงรักเขาอยู่ เราคุยกันเรื่องว่าสิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลงตัวตนคนหนึ่งคนได้อย่างไร โลกเราอาจจะผิดไปจากที่เรามองมันในแง่ดี แต่เราต้องต่อสู้กับมัน เราต้องอยู่กับคนที่เต็มไปด้วยความสุขและความรัก คนที่ยังมีหน้ามาใช้คำว่า “ไม่มีเบื่อ” ได้กับอีแค่กินโจ๊ก เราต้องกล้าเปิดเผยความรู้สึก เราต้องตรงไปตรงมา เราต้องเป็นเหมือนทอม แฮงก์ เขาช่วยฉันถือสัมภาระลงบันได ฉันขึ้นแท็กซี่ไปสนามบิน และฉันคิดถึงความจริงใจของคน คิดถึงการล้อเลียนดูถูกคน และสงสัยว่าทำไมสมัยนี้คนเราถึงกล้าเอาเรื่องคนอื่นมาล้อเลียนเป็นเรื่องสนุก ฉันคิดถึงคำสุดท้ายที่เขาบอกฉันเกี่ยวกับเดวิด โบวี (David Bowie) ฉันได้บอกหรือเปล่าว่าเขารักเดวิด โบวีขนาดไหน ก่อนหน้าวันปีใหม่หนึ่งวัน เขาฟังเพลง “Under Pressure” กับเพื่อนๆ เพราะว่าความรักคือคำเชยๆ และความรักกล้าสอนให้เราแคร์คนยามดึก ความรักกล้าสอนให้เราเปลี่ยนวิธีที่เรานึกถึงแต่ตัวเรา ปลดปล่อยใจให้เต็มที่เมื่อรักใคร เพราะนั่นคือตัวเรา เวลาเขาพูดสิ่งนี้ฉันไม่อยากให้คุณเห็นหน้าเขาเลย เพราะเขาหลับตาพริ้ม เหมือนเขาล่องลอยตามใจฝัน หน้านี้แหละที่เราหลงรักจนถอนตัวไม่ขึ้น